เครื่องดื่ม ชากับกาแฟ ต่างกันอย่างไร? ฉบับปี 2024

Published by Chobpaicafe on

ชากับกาแฟ ต่างกันอย่างไร

ชากับกาแฟ เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมทั่วโลกที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แม้ว่าทั้งสองจะมีคาเฟอีนซึ่งช่วยกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว แต่ก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจนในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่มา รสชาติ ประโยชน์ต่อสุขภาพ วัฒนธรรมในการดื่ม และสารอาหารที่มีอยู่ในเครื่องดื่มทั้งสองนี้ วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับความแตกต่างระหว่างชาและกาแฟ ว่ามีอะไรบ้าง ตามไปอ่านต่อกันเลยค่ะ 

เนื้อหาในบทความ

1. แหล่งที่มาของชาและกาแฟ

ชา: ผลิตจากใบของต้นชา (Camellia sinensis) ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ชาดำ ชาเขียว ชาขาว และชาอู่หลง แต่ละชนิดผ่านกระบวนการหมักและการอบที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดรสชาติและสีสันที่หลากหลาย ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีประวัติยาวนานในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในจีน ญี่ปุ่น และอังกฤษ

กาแฟ: กาแฟผลิตจากเมล็ดกาแฟที่ได้จากต้นกาแฟ ซึ่งมีสองสายพันธุ์หลักๆ ได้แก่ Arabica และ Robusta กาแฟต้องผ่านกระบวนการคั่วบดเพื่อนำมาชงดื่ม ซึ่งการคั่วเมล็ดกาแฟในระดับต่าง ๆ จะทำให้ได้รสชาติที่แตกต่างกัน ตั้งแต่คั่วอ่อนที่มีรสชาติเปรี้ยวและสดชื่น ไปจนถึงคั่วเข้มที่มีรสขมและหอมกลิ่นควัน เป็นต้น

2. ปริมาณคาเฟอีน

ปริมาณคาเฟอีนในชาและกาแฟ

กาแฟ: กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูงกว่าชา ในกาแฟหนึ่งถ้วยขนาดมาตรฐาน (240 มิลลิลิตร) จะมีคาเฟอีนประมาณ 95 มิลลิกรัม โดยปริมาณคาเฟอีนขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟและวิธีการชงด้วย ดังนั้นกาแฟช่วยให้ผู้ดื่มรู้สึกตื่นตัวสดชื่นและกระฉับกระเฉง แต่การดื่มในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้หัวใจเต้นเร็วหรือเกิดอาการนอนไม่หลับได้เช่นกัน ดังนั้นควรดื่มในปริมาณที่พอดีและเหมาะสมกับร่างกายของตัวเองด้วย 

ชา: ปริมาณคาเฟอีนในชาจะน้อยกว่ากาแฟ โดยเฉลี่ยแล้ว ชาดำมีคาเฟอีนประมาณ 40-70 มิลลิกรัมต่อถ้วย ขณะที่ชาเขียวมีคาเฟอีนน้อยกว่านั้น ทำให้การดื่มชาโดยเฉพาะชาเขียวจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นแต่ไม่กระตุ้นให้ตื่นตัวเกินไป อย่างไรก็ตามถ้าหากดื่มชาเขียวมัทฉะ จะได้ปริมาณคาแฟอีนที่เข้มข้นมากกว่าชาเขียวทั่วไป และยังทำให้รู้สึกตื่นตัวเช่นเดียวกับการดื่มกาแฟแต่มีปริมาณคาแฟอีนที่น้อยกว่านั่นเอง

3. สารสำคัญในชาและกาแฟ

กาแฟ: นอกจากคาเฟอีนแล้ว กาแฟยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่ากรดคลอโรเจนิก ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและช่วยป้องกันโรคเรื้อรังบางประเภท เช่น เบาหวานประเภท 2 และโรคหัวใจ

ชา: ส่วนชาจะมีสารโพลีฟีนอลเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยปกป้องร่างกายจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะชาเขียวที่มีสารคาเทชิน (Catechin) ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดน้ำหนักและเสริมการเผาผลาญ

4. รสชาติและกลิ่น

กาแฟ: รสชาติของกาแฟมีความเข้มข้นและซับซ้อน ขึ้นอยู่กับระดับการคั่ว กาแฟคั่วอ่อนจะให้รสชาติที่สดชื่นและเปรี้ยวเล็กน้อย ในขณะที่กาแฟคั่วเข้ม จะให้รสขมและกลิ่นควันชัดเจน คนที่ชอบดื่มกาแฟมักชื่นชอบความหลากหลายในรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นเอสเปรสโซ ลาเต้ หรือคาปูชิโน

ชา: รสชาติของชามีความนุ่มนวลและละเอียดอ่อนกว่ากาแฟ ชาดำจะมีรสชาติที่เข้มข้นมากกว่า ในขณะที่ชาเขียวและชาขาวจะให้รสชาติที่เบาและสดชื่น ชาแต่ละชนิดยังสามารถเพิ่มรสชาติด้วยการผสมสมุนไพรหรือผลไม้ต่าง ๆ ได้เช่นกัน

5. ประโยชน์ต่อสุขภาพ

ประโยชน์ต่อสุขภาพ

กาแฟ: การดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวานประเภท 2 และโรคพาร์กินสัน นอกจากนี้กาแฟยังช่วยเสริมความตื่นตัวและสมาธิให้ดีขึ้น แต่การดื่มกาแฟมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง และการติดคาเฟอีน เป็นต้น

ชา: ชามีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลาย ลดความเครียด และเสริมสุขภาพหัวใจ การดื่มชาเขียวเป็นประจำอาจช่วยลดน้ำหนักและเพิ่มการเผาผลาญ นอกจากนี้ ชายังช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและโรคเรื้อรังบางชนิดได้ด้วย

6. วัฒนธรรมในการดื่มชาและกาแฟ

วัฒนธรรมในการดื่มชาและกาแฟ

กาแฟ: การดื่มกาแฟเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสมัยใหม่ ที่เชื่อมโยงกับความเร่งรีบและการทำงาน เช่น การดื่มกาแฟในตอนเช้าหรือช่วงบ่ายเพื่อเพิ่มพลังงาน ทำให้รู้สึกสดชื่นทำให้คนจำนวนมากนิยมดื่มกาแฟในร้านกาแฟ หรือทำกาแฟดื่มเองที่บ้านด้วยเครื่องชงกาแฟนั่งเอง 

ชา: วัฒนธรรมการดื่มชามีลักษณะที่แตกต่างจากกาแฟ โดยเฉพาะในประเทศเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและจีน พิธีชงชาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่มีความสำคัญและแสดงถึงความเป็นระเบียบและสมาธิ การดื่มชาในบางประเทศเช่น อังกฤษก็มีธรรมเนียมการดื่ม “Afternoon Tea” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนใช้ในการพักผ่อนและพบปะสังสรรค์กับเพื่อนและครอบครัวนั่นเอง 

บทสรุป ความแตกต่างระหว่าง ชากับกาแฟ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับบทความที่เราได้นำข้อแตกต่างระหว่างชากับกาแฟมาฝากทุกคนในวันนี้ แม้ชากับกาแฟจะมีคาเฟอีนและสารต้านอนุมูลอิสระที่คล้ายคลึงกัน แต่ทั้งสองเครื่องดื่มนี้ก็มีความแตกต่างกันชัดเจน ทั้งในเรื่องของแหล่งที่มา ปริมาณคาเฟอีน รสชาติ ประโยชน์ต่อสุขภาพ และวัฒนธรรมการดื่ม ซึ่งกาแฟเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความตื่นตัวและพลังงานทันที ขณะที่ชาเหมาะกับการผ่อนคลายและการดูแลสุขภาพในระยะยาว 

เมื่อทราบถึงความแตกต่างระหว่างชากับกาแฟแล้ว เราก็สามารถเลือกเครื่องที่เหมาะสมกับความต้องการของเราได้เลย ถ้าใครชอบความ slow life ไม่เร่งรีบแต่อยากได้ความผ่อนคลาย ชา น่าจะเป็นคำตอบที่ดีเลยทีเดียวค่ะ แต่ถ้าใครมีเดดไลน์ที่ใกล้เข้ามาต้องการประสิทธิภาพการทำงานแบบเร่งด่วน เราก็ขอแนะนำให้ดื่มกาแฟเพื่อเติมพลังก่อนเริ่มวันใหม่ได้เลยค่ะ 


0 Comments

ใส่ความเห็น

Avatar placeholder

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *